มหาบาลีวิชชาลัย ได้เริ่มต้นโครงการชวนชาวไทยเรียนบาลีเป็นประเพณี ตั้งแต่ปีที่แล้ว และปีนี้กำลังเดินหน้าต่อไป ในโอกาสนี้ขอถือโอกาสนิมนต์พระสงฆ์ พระเถระ พระสังฆาธิการตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศร่วมแรงร่วมใจช่วยทำให้ชาวบ้านได้เรียนบาลีเป็นประเพณี
จะเปิดสอนภาษาบาลีให้ชาวบ้านได้อย่างไร
ง่าย ๆ เลยเพียงมีพระสงฆ์ผู้มีศรัทธาและความสามารถ พูดคุยและช่วยกันในระดับอำเภอหรือจังหวัด หารือกัน ช่วยกันเปิดห้องเรียนบาลีสำหรับชาวบ้านขึ้น
ไม่ต้องแข่งขันกัน แต่ร่วมแรงร่วมใจวางแผนทำงานร่วมกัน ทำงานเป็นทีม
เริ่มต้นแบบกว้าง ๆ คือมองดูในระดับอำเภอหรือจังหวัด แบ่งกันทำงาน คิดเป็นสัดส่วนห้องเรียนบาลีต่อประชากรไทย คือกลุ่มชาวพุทธ 3 แสนคน ก็เปิดห้องเรียนบาลี 1 ห้องเรียน นั่นหมายความว่า จังหวัดใดมีประชากร 6 แสนคน พระสงฆ์ในจังหวัดนั้น ต้องเปิดห้องเรียนบาลีสำหรับชาวบ้าน 2 ห้องเรียน เริ่มต้นกว้าง ๆ แบบนี้ ระยะต่อไปค่อยขยับหรือเพิ่มห้องเรียนขึ้น เช่น 1 ห้องเรียนบาลี ต่อประชากร 2 แสนคน
ต้องก้าวข้ามความคิดเดิม ๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในหัวให้ได้
เช่น “จะมีคนเรียนเร้อ บาลีนี่ ขนาดพระยังไม่ค่อยเรียนกันเลย แล้วญาติโยมจะมาเรียนหรือ?,
โยมมาเรียนบาลีจะได้ประโยชน์อะไร ไปเรียนวิชาชีพทำงานหาเงินดีกว่ามั้ง, บาลีเป็นเรื่องของพระ ส่วนโยมมีหน้าที่หาเงินมาทำบุญ..ฯลฯ
ต้องมองไปข้างหน้า มองไกล ๆ มองยาว ๆ
เช่น ปี พ.ศ. 2600 สถานการณ์วัด สถานการณ์พระพุทธศาสนา สถานการณ์เรียนบาลีของคนไทยจะเป็นอย่างไร การเริ่มต้นสอนภาษาบาลีให้ชาวบ้านในปีนี้ จะเกิดผลดีอย่างไรต่อประเทศชาติและพระศาสนาในระยะยาว
ต้องกล้าปรับเปลี่ยน กล้าที่จะเปลี่ยนวิธีการสอน
วิธีการถ่ายทอดเนื้อหาความรู้บาลีแบบที่สอนพระเณรกันเองนั้น ไม่เหมาะกับชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อต้องสอนบาลีให้ชาวบ้านญาติโยม ต้องปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก ต้องเตรียมการให้มาก ต้องวางแผนให้ดี อย่าสอนตามความเคยชินแบบที่สอนพระเณร เพราะมันชวนเบื่อหน่ายและจะไล่คนเรียนหายไปทีละคนสองคนแบบไม่รู้ตัว
ต้องกล้าปรับเปลี่ยน กล้าที่จะเปลี่ยนวิธีการบริหาร
การพูดจากับญาติโยมแบบถือยศถือศักดิ์วางอำนาจ ถือว่าตนเองเป็นเจ้าคุณ เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นพระผู้ปกครองชั้นสูงนั้น มันไม่เข้ากับยุคสมัยนานแล้ว พระสังฆาธิการที่มีอำนาจปกครองคณะสงฆ์ (ตามกฏหมาย) ต้องกล้าปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการการบริหารวัดตนเอง การพูดคุยกับพระเณรในสังกัด การจัดการวัดแบบอำนาจนิยม (แบบความคิดของฉันเท่านั้น พระรูปอื่น ๆ ต้องฟังฉัน) นั้น ไม่ได้สร้างศรัทธา ไม่สามารถดึงความร่วมแรงร่วมใจจากใคร ๆ ได้อย่างลึกซึ้งและจริงจังเลย มิหนำซ้ำกลับจะผลักไสพระหนุ่ม ๆ ที่มีความรู้ความสามารถทั้งหลายให้เอือมระอาเบื่อหน่ายวงการคณะสงฆ์ลาสิกขาหนีไปเสียอีก
ต้องกล้าปรับเปลี่ยน กล้าที่จะเปิดสอนบาลีให้ชาวบ้าน
หากพระผู้ใหญ่ในอำเภอหรือจังหวัดท่านไม่สนใจเปิดสอนบาลีให้ชาวบ้าน พระหนุ่ม ๆ ในจังหวัดก็คุยกันให้ดีแล้วก็เปิดสอนได้เลย ไม่ต้องไปรอพระผู้ใหญ่ อย่าไปคิดว่านี่เป็นการล้ำหน้าหรือข้ามหน้าข้ามตาไม่ให้เกียรติใคร (ถ้าพระผู้ใหญ่ท่านไม่สนใจทำหรือทำไม่ได้ ท่านก็ควรอุดหนุนควรอุปถัมภ์ส่งเสริม ไม่ใช่ทำเป็นเฉย) อย่าไปเกรงกลัวว่าจะกระทบกับตำแหน่งปกครอง กระทบต่อการเลื่อนขั้นสมณศักดิ์พัดยศใด ๆ อย่าไปใส่ใจ ให้มองข้ามเรื่องพวกนี้แล้วเดินหน้าเปิดสอนภาษาบาลีให้ชาวบ้านได้เลย
การทำให้ชาวบ้านเขามีความรู้มีปัญญาเข้าถึงพระธรรมคำสอนนั่นแหละคือสิ่งมีค่าที่สุดแล้ว ส่วนสมณศักดิ์หรือตำแหน่งปกครองเป็นเพียงหัวโขนที่มาชั่วคราวก็ต้องละทิ้งไปกันทุกราย พวกใบตราตั้งพวกตาลบัตรพัดยศเมื่อเจ้าของลาโลกแล้ว ก็ไม่มีใครสนใจสักเท่าไหร่ นอกจากปล่อยให้ฝุ่นเกาะให้เก่าคร่ำคร่าไป นานเข้าเขาก็เอาไปทิ้งอยู่ดี ดังนั้นอย่าให้เรื่องสมณศักดิ์เรื่องตำแหน่งปกครองมาขัดขวางการเปิดสอนภาษาบาลีให้ชาวบ้าน ข้ามไปให้ได้ อย่าสะดุด อย่าหวั่นเกรง
จงคิดหาหนทาง หาวิธีการ สร้างเครื่องมือ เตรียมอุปกรณ์เพื่อช่วยให้ชาวบ้านที่มาเรียนบาลีได้สัมผัสว่า “การเรียนบาลีนั้น เป็นสิ่งง่าย ๆ ไม่ได้ยาก และเรียนสนุกด้วย" และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้เขาเรียนบาลีเข้าใจเร็วที่สุด
จะเปิดสอนภาษาบาลี จะใช้หลักสูตรอะไรดี
หลักสูตรอะไรก็ได้ที่ท่านถนัด หลักสูตรบาลีไวยากรณ์สนามหลวงก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเน้นให้ผู้เรียนไปสอบบาลีสนามหลวง เน้นให้ญาติโยมได้เรียนและมีความรู้เพื่อการศึกษาและปฏิบัติธรรมส่วนตัวก็พอ จะทำให้การเรียนไม่เครียดและผู้เรียนก็อยากจะศึกษาค้นคว้าไม่สิ้นสุด
จะเปิดสอนบาลีให้ชาวบ้านเมื่อไหร่
พร้อมเมื่อไหร่ก็เปิดเมื่อนั้น แต่จุดเริ่มต้นที่ดีคือเริ่มช่วงเข้าพรรษาคือเปิดสอนเดือนสิงหาคม 2556 เป็นต้นไปเลย หากเริ่มเตรียมการวันนี้ มีเวลาเหลือเฟือสำหรับเตรียมการสอน
จะเปิดสอนยาวนานแค่ไหน
กำหนดคร่าว ๆไว้ก่อน ให้ชาวบ้านได้เรียนภาษาบาลีเบื้องต้นอย่างน้อยที่สุดคนละ 450-600 ชั่วโมง เลือกเอาว่า สัปดาห์หนึ่ง จะเปิดสอนกี่วัน จะเปิดสอนวันไหนบ้าง
ไม่รู้จะเริ่มต้นได้อย่างไร
หากท่านยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ให้ติดต่อมาที่มหาบาลีวิชชาลัยทันที หนทางจะเปิดกว้างได้เร็ว มหาบาลีวิชชาลัยมีความยินดีให้ความช่วยเหลือทุกประการ ทั้งวิธีการจัดการ การวางแผนการสอน การจัดซอยเนื้อหา การเตรียมสื่ออุปกรณ์ ตำรา การหาผู้เรียนและ ฯลฯ
อย่ารอแค่ “สอนบาลีให้พระภิกษุสามเณรก็พอแล้ว”
หากพระสงฆ์คิดแค่ว่า “รอสอนภาษาบาลีให้พระภิกษุสามเณร" ก็พอ ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่า คนไทยบวชเรียนกันน้อยลง บวชกันระยะสั้น ๆ เท่านั้น และสนใจเรียนบาลีน้อยลงเรื่อย ๆ สถิติสอบผ่านบาลีก็ถดถอยลงเรื่อย ๆ” การคิดและรอสอนบาลีให้แค่พระเณรแบบนี้ เป็นการมองข้ามชาวพุทธกลุ่มใหญ่กว่า 50 ล้านคน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
ต้องเข้าใจว่า ชาวพุทธไทยที่อยากเรียนบาลีนั้นมีมาก ทำไมไม่เปิดห้องเรียนสอนภาษาบาลีให้ชาวบ้าน เริ่มต้นแบบเล็ก ๆ ในชุมชน ตำบล หรืออำเภอตนเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย เรียนใต้ร่มไม้ก็ได้ กางเต้นท์เรียนก็ได้ เรียนในศาลาการเปรียญก็ได้ เรียนข้างวิหารก็ได้ ไม่ต้องไปลงทุนสร้างอาคารเรียนให้เสียเงินเสียทองอะไรเลย
ขอนิมนต์พระสงฆ์ไทย จงเร่งรุดตื่นตัว ร่วมคิด ร่วมแรง ร่วมใจกันสอนภาษาบาลีให้ชาวบ้านกว่า 50 ล้านคนซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนี้ ทำให้ประเทศนี้สมกับที่คนเรียกว่า “ศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนาของโลก”
จงช่วยกันทำให้ชาวบ้านได้เรียนบาลีเป็นประเพณี ร่วมกันสร้างปัญญาบารมีให้เป็นเอกลักษณ์ชาวพุทธสมกับแผ่นดินพระพุทธศาสนาด้วยกัน
มหาบาลีวิชชาลัยเริ่มต้นแล้ว จังหวัดของท่านจะเริ่มต้นเมื่อใด รีบเลย จะช้าอยู่ใย มาทำงานเป็นเครือข่ายร่วมกัน ช่วยกันทำให้คนไทยได้เรียนบาลีเป็นประเพณีให้ได้
เขียนเมื่อ
8 เมษายน 2556 | อ่าน
5836
เขียนโดย
นายธฤญเดชา ลิภา